วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

5. เว็บบอร์ด (Web board)



           เว็บบอร์ด (WebBoard) คือโปรแกรมที่ทำหน้าที่ในลักษณะเป็น กระดานสนทนา เป็นกระดานแจ้งข่าวสาร ข้อมูล และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน โดยใช้รูปแบบการแสดงผล HTML ที่นิยมใช้ใน World Wide Web
            WebBoard อนุญาตให้ผู้เยี่ยมชมเวปไซต์ และผู้พัฒนาเวปไซต์ สามารถตั้งหัวข้อกระทู้ เพื่อประกาศข่าวสาร แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ ซึ่งจะมีความแตกต่างจาก GuestBook ตรงที่ WebBoard จะสามารถแยก หัวข้อต่างๆ ออกเป็นกระทู้ๆ มีความโต้ตอบกันในการสนทนา ในหัวข้อเดียวกันมากกว่า กล่าวได้ว่า WebBoard คือพัฒนาการในรูปแบบใหม่ ของระบบการสนทนาใน BBS (Bulletin Board System) ที่เคยได้รับความนิยม ก่อนที่ระบบเครือข่าย Internet จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

ประโยชน์ของเว็บบอร์ด

  1. เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสาร ถามตอบ หรือประกาศข่าวสารต่างๆ
  2. เป็น web2.0 ที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกันได้โดยการแสดงความคิดเห็น 
  3. ผู้ใช้หน้า homepage สามารถนำไปเป็นแหล่งที่สื่อสารหรือประกาศข่าวได้

การใช้งานของเว็บบอร์ด
  1. ผู้ใช้งานสามารถเลือกตั้งกระทู้หรือหัวข้อตามหมวดหมู่ที่เว็บไซต์ได้จัดไว้
  2. ในกรณีที่เว็บบอร์ดใดเป็นเว็บปิด ต้องสมัครสมาชิกก่อนใช้งาน
  3. สามารถตั้งกระทู้และตอบได้
  4. โพสรูปได้ ตามที่ทางเจ้าของเว็บบอร์ดกำหนด







ที่มา : http://sawitripat.blogspot.com/2011/02/webboard.html

4. เว็บโซเชียลบุ๊คมาร์ค (Bookmark Social Site)

        



        เว็บโซเชียลบุ๊คมาร์ค (Bookmark Social Site) เป็นเว็บที่ให้เราเก็บหน้าเว็บ หรือเว็บไซต์ที่เราชื่นชอบ เพื่อเอาไว้เข้าชมทีหลัง แต่พอมาเป็นโซเชียลไซต์ เราจะสามารถแชร์ URL ของหน้าเว็บเหล่านั้น รวมถึงดูว่าคนอื่นเก็บหน้าเว็บอะไรไว้บ้าง เข้าชม และแสดงความคิดเห็นต่อหน้าเว็บต่างๆ ได้

       Social Bookmark ก็คือ พื้นที่ที่ไว้สำหรับเก็บหน้า web page ต่างๆที่เพื่อนๆชื่นชอบ มันก็คลายๆกับ Add to Favorite ใน IE แต่ถ้าเพื่อนๆใช้ Favorite ใน browser  ก็จะเห็นแค่คนเดียว แต่ถ้าเพื่อนๆไป save ไว้ใน Social Bookmark ด้วยก็จะมีอีกหลายๆคนได้อ่านหรื่อได้ชม page นั้นทีเพื่อน save เก็บไว้ด้วย มันก็ประมาณว่า แบ่งปันสิ่งดีๆๆ ให้คนอืนได้รับรู้ด้วย

ประโยชน์ที่เพื่อนๆได้รับคือ
- ได้รับข้อมูลข่าวสารต่างๆจากทั้วทุกมุมโลก
- ได้แบ่งบันสิ่งต่างๆที่เพื่อนๆชื่นชอบ
- ได้พบผู้คนมากมาย

ประโยชน์ที่เจ้าของ บทความ ทั้งใน Website และ Blog จะได้รับ
- Promote website และ Blog
- Traffic
- Blanklink

3. โซเชียลเน็ตเวิร์คเว็บไซต์ (Social Network Website)

       
            


               โซเชียลเน็ตเวิร์คเว็บไซต์ (Social Network Website) คือเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสังคมออนไลน์โดยเฉพาะ เช่น Facebook, Linkedin, Myspace, Hi5 เป็นต้น เว็บพวกนี้มีจุดเด่นที่การแชร์คอนเท้นต์ ทั้งข้อความ รูปภาพ และวีดีโอ บางเว็บรวมไปถึงบทความ เพลง และลิ้งค์  นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชั่นในการแสดงความรู้สึก หรือมีส่วนร่วม เช่น การกดไลค์ (Like) การโหวต การอภิปราย (Discuss) และการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น


             - Facebook คือ บริการบนอินเทอร์เน็ตบริการหนึ่ง ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารและร่วมทำกิจกรรมใดกิจกรรม หนึ่งหรือหลายๆ กิจกรรมกับผู้ใช้ Facebook คนอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งประเด็นถามตอบในเรื่องที่สนใจ  โพสต์รูปภาพ  โพสต์คลิปวิดีโอ  เขียนบทความหรือบล็อก แชทคุยกันแบบสดๆ  เล่นเกมส์แบบเป็นกลุ่ม (เป็นที่นิยมกันอย่างมาก) และยังสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ผ่านแอพลิเคชั่นเสริม (Applications) ที่มีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งแอพลิเคชั่นดังกล่าวได้ถูกพัฒนาเข้ามาเพิ่ม เติมอยู่เรื่อยๆ
               
              - Linkedin  เครื่องมือชั้นดีในการค้นหาผู้สมัครงานหรือค้นหาผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ LinkedIn เป็นเครือข่ายทางสังคม ที่มีลักษณะโดดเด่นและแตกต่างสำหรับเครือข่ายอื่นๆ ซึ่งถ้าเปรียบไปว่า Facebook คือเครือข่ายของผู้คนที่เน้นเรื่องส่วนบุคคล เช่น เพื่อนฝูง การทักทายผ่านการให้ความคิดเห็น การโพสต์รูปการจัดกิจกรรมต่างๆ LinkedIn น่าจะเป็น เครือข่ายที่มุ่งเน้นที่แสดงออกถึงตัวตนของเจ้าของโปรไฟล์ที่เน้นอาชีพ หน้าที่การงานและความเชี่ยวชาญเป็นหลักหรือแปลความง่ายๆ LinkedIn คือ Facebook สำหรับมืออาขีพที่มาพบปะแลกเปลี่ยนโชว์ผลงาน ความสามารถ

             
           





ที่ม : http://www.microbrand.co/social-network-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/
               http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4Facebook-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3Facebook.html
    
http://www.oknation.net/blog/philharmonics/2011/08/07/entry-2

2. ไมโครบล็อก (Micro Blog )

            ป็นบล็อกที่มีการแสดงหัวข้อและความคิดเห็นที่กระชับ กะทัดรัด ผู้ใช้ที่เป็นสมาชิกสามารถ
เลือกหัวข้อจากบล็อกอื่นให้มาปรากฏในไมโครบล็อกของตนเอง หรือตามสมาชิกอื่นได้  
            Micro blogging คือการที่เราโพสข้อความสั้นๆ สู่เว็บไซต์และเมื่อเราพูดสั้นๆ เราก็หมายถึงแบบนั้นจริงๆ การโพสบน micro blogging เรามักจะเรียกว่าอัพเดท (หรือในเว็บที่ได้รับความนิยมมากจะนิยมเรียกว่า tweet) มีการจำกัดตัวอักษรที่ 140 ตัวอักษร รวมไปถึงการเว้นวรรค ได้แรงบันดาลใจมากจากการส่งข้อความ text message ธรรมดาที่ใช้ส่งจากมือถือไปยังมือถือ
          การโพสข้อความง่ายๆ 140 ตัวอักษรที่ไหนสักที่บนเว็บไซต์ ไม่ใช่ทางที่ดีเสมอไป คุณต้องเลือกใช้เพียงเว็บไซต์เดียวจากหลาย micro blogging ที่ให้บริการ เพราะตัวให้บริการจะเก็บสะสมและโพสต์การอัพเดทในทางที่ต่างออกไป    รูปแบบตรงกลางที่รวมกันเราเรียกว่าไทม์ไลน์ นั้นคือที่ๆ รวบรวมการอัพเดท หน้าหลักของ microblogging ส่วนมากจะมีไทม์ไลน์สาธารณะ ที่รวบรวมโพสล่าสุดจากผู้ใช้ทั่วโลก แต่คุณก็มีไทม์ไลน์ที่เป็นตัวอัพเดทของคุณเองได้
         การให้บริการ Micro blogging นั้นอนุญาตให้ผู้คนสามารถติดตามการอัพเดทของคุณได้ หรืออย่างน้อยพวกเขาก็สามารถอ่านข้อความของคุณได้ หรือใช้ซอฟต์แวร์ได้
        ไมโครบล็อคเป็นเหมือนเว็บไซต์ชุมนุมธรรมดา ไมโครบล็อคกิ้งคอยจับตาดูหัวข้อที่ผู้คนคอยพูด และอาจใช้ในทางประโยชน์ส่วนตัวหรือธุรกิจ สิ่งที่แตกต่างอย่างมากคือความยาวของโพสและความเร่งด่วนของเวลา ตัวไมโครบล็อคกิ้งแน่นอนว่าจะเน้นความรวดเร็วในการอัพเดทอย่างทันที มันทำให้พวกบล็อกเกอร์สามารถเขียนข้อความง่ายๆ และโพสต์ได้ทันเวลา และไมโครบล็อคเกอร์สามารถโพสต์ยอดของการอัพเดทได้ด้วย











ที่มา : https://imrebelsixx.wordpress.com/2012/11/08/micro-blogging/

1. Blog หรือ Weblog

            Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)

           Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
            จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
            ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้นผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaqเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจากการเขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวของการประชุมระดับชาติ
           จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
           สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย













ที่มา: http://www.jojho.com/2013/05/what-is-blog.html

ประเภทของ Social Network





ความหมายของ Social Network

      

             Social Network หรือ เครือข่ายสังคม (ชุมชนออนไลน์) เป็นรูปแบบของเว็บไซต์ ในการสร้างเครือข่ายสังคม สำหรับผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ต เขียนและอธิบายความสนใจ และกิจการที่ได้ทำ และเชื่อมโยงกับความสนใจและกิจกรรมของผู้อื่น ในบริการเครือข่ายสังคมมักจะประกอบไปด้วย การแช็ต ส่งข้อความ ส่งอีเมลล์ วิดีโอ เพลง อัปโหลดรูป บล็อก
                ประดนเดช นีละคุปต์ (2551) อธิบายว่า เป็นการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันโดยทางใดทางหนึ่ง โดยอาศัยเทคโนโลยีเว็บ       
                อนงค์นาฎ ศรีวิหค (2551) อธิบายว่า เป็นการเชื่ยมโยงประชากรเข้าด้วยกัน
                Social Network คือการที่ผู้คนสามารถทำความรู้จัก และเชื่อมโยงกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หากเป็นเว็บไซต์ที่เรียกว่าเป็น เว็บ Social Network ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันนั่นเอง ตัวอย่างของเว็บประเภทที่เป็น Social Network เช่น Digg.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เรียกได้ว่าเป็น Social Bookmark ที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง และเหมาะมาก ที่จะนำมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยในเว็บไซต์ Digg นี้ ผู้คนจะช่วยกันแนะนำ url ที่น่าสนใจเข้ามาในเว็บ และผู้อ่านก็จะมาช่วยกันให้คะแนน url หรือข่าวนั้น ๆ เป็นต้น
                ในแง่ของการอธิบายถึงปรากฏการณ์ของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ยังมีการอธิบายผ่านคำว่า Social network service หรือ SNS เป็นการเน้นไปที่การสร้างชุมชนออนไลน์ซึ่งผู้คนสามารถที่จะแลกเปลี่ยน แบ่งปันตามผลประโยชน์ กิจกรรม หรือความสนใจเฉพาะเรื่อง ซึ่งอาศัยระบบพื้นฐานของเว็บไซต์ที่ทำให้มีการโต้ตอบกันระหว่างผู้คนโดยแต่ละเว็บนั้นอาจมีการให้บริการที่ต่างกัน เช่น email กระดานข่าว และในยุคหลังๆมานี้ เป็นการแบ่งปันพื้นที่ให้สมาชิกเป็นเจ้าของพื้นที่ร่วมกันและแบ่งปันข้อมูลระหว่างโดยผู้คนสามารถสร้างเว็บเพจของตนเองโดยอาศัยระบบซอฟท์แวร์ที่เจ้าของเว็บให้บริการ
ในขณะเดียวกัน Howard Rheingold ได้เขียนคำจำกัดความของคำว่า virtual Community ในหนังสือ virtual communy ว่าหมายถึง การสื่อสาร และ ระบบข้อมูล ของบรรดาเครือข่ายสังคม ซึ่งแบ่งปันในผลประโยชน์ร่วมกัน ความคิด ชิ้นงาน หรือ ผลลัพธ์บางประการที่มีการโต้ตอบกันผ่านสังคมเสมือนจริง ซึ่งไม่ถูกผูกพันโดยเวลา พรมแดน เขตแดนของหน่วยงาน และในทุกๆที่ที่บุคคลสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันผ่านระบบออนไลน์ สำหรับตัวอย่าง Social Network อื่น ๆ เช่น Hi5 หรือว่า Facebook ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น social network เต็มรูปแบบอีกอย่างหนึ่ง ที่ให้ผู้คนได้มามีพื้นที่ ได้ทำความรู้จักกันโดยเลือกได้ว่า ต้องการทำความรู้จักกับใคร หรือเป็นเพื่อนกับใคร
                การแบ่งหมวดหมู่ของเครือข่ายสังคมออนไลน์ อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ได้จำแนกหมวดหมู่ หรือ ประเภทของเครือข่ายสังคมออนไลน์ไว้ใน บทบาทของ Social Network ในอินเทอร์เน็ตยุค 2.0 โดยพิจารณาจากเป้าหมายของการเข้าเป็นสมาชิกในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้เป็น ๕ กลุ่มใหญ่ๆ กล่าวคือ
               -  Identity Network คือ การแสดงตัวตนและภาพลักษณ์ของตน เช่น Hi5 ,Facebook เป็นต้น
               -  Interested Network เป็นการรวมตัวกันโดยอาศัยความสนใจตรงกัน เช่น Digg.com , del.icio.us
               -  Collaboration Network เป็นกลุ่มเครือข่ายที่ร่วมกัน ทำงานยกตัวอย่างเช่น Wikipedia
               -  Gaming/Virtual Reality หรือ โลกเสมือน ในบางครั้งเราเจอคำว่า second life ซึ่งเป็นลักษณะของเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นการสวมบทบาทของผู้เล่นในชีวิตจริงกับตัวละครในเกม และ
              -  Professional Network เครือข่ายเพื่อการประกอบอาชีพ